วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติศาสตร์กฎหมาย

กฎหมายอาญาสมัยบาบิโลน

ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบียึดหลักการแก้แค้นตอบแทนที่รุนแรงมาก หลักการดังกล่าวนี้ เป็นหลักการของกฎหมายดั้งเดิมที่เรียกว่า “Lex Talionis” หรือ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” เห็นได้จากข้อความที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังนี้คือ
1.ถ้าบุคคลใดทำลายดวงตาของอีกผู้หนึ่ง ดวงตาของบุคคลนั้นจะถูกทำลายเช่นกัน
2.ถ้าชายคนหนึ่งเป็นเหตุให้ชายอีกคนสูญเสียลูกนัยน์ ตา ลูกนัยน์ตาของชายคนนั้นต้องถูกควักออกมา
3.บุคคลใดทำให้บุตรสาวของผู้อื่นถึงแก่ความตาย บุตรสาวของตนก็จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายด้วย
4.ถ้าบ้านพังตกลงมาทับเจ้าของบ้านตาย ผู้สร้างต้องรับผิดชดใช้ด้วยชีวิต
5.ช่างก่อสร้างบ้านเรือนที่ทำให้บุตรของเจ้าของบ้านถึงแก่ความตายโดยประมาทบุตรของตนจะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายเช่นกัน
6.เจ้าหนี้ทำให้บุตรของลูกหนี้ซึ่งมาอยู่กับตนในฐานะเป็นผู้ขัดหนี้ถึงแก่ความตายบุตรของเจ้าหนี้จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายด้วย
เมื่อ พิจารณาหลักการลงโทษจะเห็นว่าเป็นการลงโทษแก่บุตรหรือธิดาของผู้กระทำผิด ซึ่งบุคคลดังกล่าวไม่ได้กระทำความผิด อันเป็นวิธีการลงโทษที่แตกต่างกับกฎหมายอาญาในปัจจุบัน ที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้แค้นหรือตอบแทนผู้ที่กระทำความผิด
ประมวล กฎหมายนี้ไม่มีการลงโทษจำคุกแก่ผู้กระทำผิด เพราะโทษที่ลงแก่ผู้กระทำผิดร้ายแรงที่ผู้กระทำผิดมีเจตนา เช่น ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ลักทรัพย์ คือโทษประหารชีวิต แต่ความผิดอื่น ๆ ที่ไม่ร้ายแรง โทษที่ผู้กระทำผิดได้รับคือ โทษปรับ เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนาต้องถูกลงโทษประหารชีวิต แต่ถ้าจำเลยสาบานว่าฆ่าคนจริงแต่ไม่เจตนาโทษที่จำเลยได้รับคือปรับโดยคำนึง ถึงชั้นวรรณะของผู้ซึ่งถึงแก่ความตายเป็นหลัก
นอกจากนี้ลูกทำร้ายร่างกายพ่อ จะถูกลงโทษให้ต้องตัดมือทิ้งเสีย
วิธีพิสูจน์ความผิดฐานมีชู้ ให้นำภรรยาไปโยนลงในแม่น้ำ ถ้าลอยน้ำถือว่าบริสุทธิ์ ถ้าจมน้ำถือว่ามีความผิด 
ประมวลกฎหมายจัสติเนียน

กฎหมาย Civil Law หรือ ประมวลกฎหมายจัสติเนียน เกิดจากปัญหาความไม่แน่นอนในการตัดสินคดี เนื่องจากจักรพรรดิหลายพระองค์กำหนดให้อ้างอิงความเห็นของนักกฎหมาย 5 นาย จึงจะเป็นความเห็นที่เชื่อถือได้ ถ้าความเห็นของนักกฎหมายเป็นไปในทางเดียวกันทั้ง 5 นาย ผู้พิพากษาจะตัดสินตามนั้น แต่ถ้าไม่ตรงกันผู้พิพากษาจะพิจารณาตามความเห็นของใครก็ได้
ค.ศ.528 ภายหลังจักรพรรดิจัสติเนียนเป็นจักรพรรดิได้ 1 ปี ทรงแต่งตั้งกรรมการคณะหนึ่งมี 10 คน มีไทโบเนียน ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นเป็นประฐานมีหน้าที่รวบรวมและจัด ทำกฎหมายขึ้นใหม่
ใน ปี ค.ศ.530 จัสติเนียนได้ให้ไทโบเนียน จัดทำกฎหมายขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งให้มีลักษณะกว้างขวางสามารถบังคับได้ทั่ว ไป ไทโบเนียนได้เลือกบุคคลอื่น ๆ มาร่วมงานด้วย 16 คน ล้วนแต่เป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น และ 4 คนในจำนวนนี้เป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ใช้เวลา 3 ปี ได้จัดทำกฎหมายขึ้น 2,000 บรรพ ขนาด 3,000,000 บรรทัด แต่ในที่สุดถูกตัดทอนลงเหลือ 150,000 บรรทัด

ประมวลกฎหมายจัสติเนียน ประกอบด้วยบทบัญญัติ 3 ภาค ดังนี้คือ
1.คำอธิบายกฎหมายเบื้องต้น เป็นบทบัญญัติเพื่อแนะนำให้ผู้ศึกษากฎหมายเข้าใจกฎหมายและเนื้อหาสาระ จึงได้ให้คณะกรรมการจัดทำคำอธิบายกฎหมาย ซึ่งจะกล่าวถึงสาระสำคัญของกฎหมายทั้งหมดให้เป็นระบบเพื่อสะดวกแก่การศึกษา คำอธิบายกฎหมายเบื้องต้นนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 เล่ม ส่วนใหญ่เป็นคำอธิบายของไกอัสเป็นแนวทาง เช่น
“ความยุติธรรมคือเจตจำนงอันแน่วแน่ตลอดกาลที่จะให้แก่ทุกคนตามส่วนที่เขาควรจะได้”
“วิชานิติศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง เป็นวิชาที่ว่าด้วยความเป็นธรรมและความอยุติธรรม”
“หลักกฎหมายก็คือ ดำรงชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ทำร้ายผู้อื่น และให้แก่ทุกคนตามส่วนที่เขาควรได้”
2.วรรณกรรมกฎหมาย เป็นการรวบรวมข้อคิดและความคิดเห็นของนักกฎหมายตั้งแต่ 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราชเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 4 สรุป วรรณกรรมกฎหมายก็คือความเห็นของนักกฎหมายเอามารวมเล่มไว้โดยรวบรวมจาก หนังสือประมาณ 2,000 เล่ม แล้วย่อลงมาเหลือ 50 เล่ม มีประมาณ 150,000 บรรทัด เช่น
วรรณกรรมกฎหมาย หรือ บทคัดย่อของจัสติเนียน กล่าวว่า “ย่อมไม่มีการขายถ้าไม่มีราคา” มาจากความเห็นของนักกฎหมาย ชื่อ Ulpianus ซึ่งเห็นว่าราคาเป็นองค์ประกอบสำคัญของสัญญาซื้อขายโรมัน
3.ประมวลพระราชบัญญัติ รวบรวมตัวบทกฎหมายที่ออกโดยพระจักรพรรดิ ทั้งก่อนและหลังสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินโดยเรียบเรียงเป็นบรรพ เป็นเรื่อง รวบรวมเสร็จภายในปีเศษและประกาศใช้ ค.ศ.529 หลังประกาศใช้ไปแล้วประมาณ 5 ปี ก็มีความจำเป็นจะต้องแก้ไขปรับปรุงใหม่ เพราะว่าล้าสมัยประมวลกฎหมาย ฉบับที่ 2 มีชื่อว่า Justinian’s Code of the resumed readiong ฉบับนี้ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ฉะนั้นในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน จะมีประมวลอยู่ 2 ฉบับ
1.Justinian’s Code หรือ Corpus Juris Civilis ซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
2.Justinian’s Code of the resumed reading
นอกจาก 3 ภาคที่กล่าวแล้วในประมวลกฎหมาย Civil Law ยังมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเมื่อประกาศใช้ประมวลกฎหมายซีวิล ลอว์ไปแล้ว จัสติเนียนก็ไม่ได้ทรงนิ่งนอนพระทัย ทรงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้ทันสมัยอยู่เสมอ ในระยะหลังก็ออกมาเป็นพระราชบัญญัติและตั้งพระทัยว่าจะรวบรวมกฎหมายให้เป็น ประมวลในโอกาสต่อไปแต่ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน
กำเนิดกฎหมาย 12 โต๊ะ

ในปี 452 ก่อนคริสต์ศักราช ทางการจึงส่งผู้แทน 3 คน เดินทางไปยังประเทศกรีซ เพื่อทำการศึกษากฎหมาย Soln ซึ่งเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรของกรีซ เพื่อเอามาเป็นแบบอย่างในการจัดทำกฎหมายโรมัน โครงร่างเพิ่มขึ้นอีก 10 โต๊ะ จึงกลายเป็นกฎหมาย 22 โต๊ะ แต่ 12 โต๊ะแรกนั้น ผู้ร่างกฎหมายคือ พวกชนชั้นสูงหรือพวก Patrician เมื่อร่างออกมาแล้วก็ยังมีการกดขี่อยู่  และไม่ได้ให้สิทธิเท่าที่ควรจะได้ ดังนั้น จึงมีการเสนอให้พวก Plebeians เข้า ไปร่วมเป็นกรรมการในการร่างกฎหมายเพิ่มเติม และกฎหมายสิบสองโต๊ะได้มีการใช้มาเรื่อยๆจนถึงที่ได้มีการแยกโรมันออกเป็น 2 ส่วน ปี ค.ศ. 305 ได้เกิดสงครามกลามเมืองระหว่างผู้นำของโรมัน 2 คน คือ ลีซีนีอุส (Licinius) กับ คอนสแตนติน(Constantin) ผลปรากฏว่าคอนสแตนตินได้รับชัยชนะเหนือลีซีนีอุส ในสมรภูมิใกล้เมืองไบแซนทิอุม (Byzantium) ในปี ค.ศ. 324 และได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิของโรมัน  
มี ที่มาเนื่องจากมีข้อเรียกร้องของพวกสามัญชน โดยอ้างว่าตนไม่สามารถรู้ถึงกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพราะถูกบิดบัง และกล่าวหาว่าการใช้กฎหมายของพวกชนชั้นสูงหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเป็นไป โดยไม่แน่นอน ดังนั้นในการออกกฎหมาย บังคับใช้กฎหมาย หรือการชี้ขาดตัดสินคดีเป็นอำนาจของพวก Patricians ทั้งสิ้น จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่พวก Plebeians ซึ่ง ไม่ใคร่จะมีโอกาสได้รู้เลยว่ากฎหมายที่ใช้มีอยู่อย่างไร ได้มีการเรียกร้อง ให้นำกฎหมายเหล่านั้นมาเขียนให้ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ตามพวก Plebeians และพวก Patriclans ก็ล้วนแต่มีสภาของตนเองให้การปกครอง และมีอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับพวกของตน เมื่อพวก Plebeians ถูก กดขี่มาก ๆ จึงเกิดการต่อสู้เรียกร้องให้สิทธิเท่าเทียมกัน เพราะโดยปกติตำแหน่งสูง ๆ ผู้ที่จะเป็นได้ก็คือพวกชนชั้นสูง จึงมีการบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษรขึ้นมา การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิทธิของพวก Plebeians จนกระทั่งมีการออกกฎหมายที่สำคัญ มีชื่อเรียกว่า กฎหมาย 12 โต๊ะ The Twelve of Tables เป็นโต๊ะทองบรอนซ์ในสมัยจักรพรรดิ Justinian ประมาณ 400 – 450 ปีก่อน ค.ศ. ถือกันว่าเป็นกฎหมายที่มีชื่อเสียงมาก เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่ใช้อยู่เป็นส่วนใหญ่ จึงได้ทำการรวบรวมจารีตประเพณีที่ใช้เป็นกฎหมายอยู่ในขณะนั้นบันทึกลงบนแผ่น ทองแดง โดยมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่าย ปกครอง 10 คน ในปี 451 ก่อนคริสตกาล กรรมการชุดนี้จึงได้จัดทำการแต่งตั้งกรรมการขึ้นอีกชุดหนึ่งจัดทำกฎหมายขึ้นมาใหม่อีก 12 โต๊ะ ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจาก Comitia Centuriata อีกเช่นกัน บทบัญญัติของกฎหมาย 12 โต๊ะ ได้เขียนไว้บนแผ่นทองบรอนซ์ และนำไปตั้งอยู่ในท้องตลาด แต่ภายหลังต่อมาในปี 390 ก่อนคริสตกาล ได้ถูกพวกโกล (Goul) เผาทำลาย กรุงโรม อย่างไรก็ดีความรู้ในเนื้อหาของกฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งได้มากจากฉบับที่คัดลอกเพื่อการศึกษาเป็นส่วนตัวและจากเอกสารอื่น ๆ จึงทำให้ทราบว่ากฎหมาย 12 โต๊ะนี้ประกอบด้วย
        โต๊ะที่ 1, 2 และ 3                                 พิจารณาความแพ่ง และการบังคับคดี
        โต๊ะที่ 4                                              อำนาจบิดาในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัว
        โต๊ะที่ 5, 6 และ 7                                 การสืบมรดกและทรัพย์สิน
        โต๊ะที่ 8                                              ละเมิด หรือกฎหมายอาญา
        โต๊ะที่ 9                                              กฎหมายมหาชน
        โต๊ะที่ 10                                            กฎหมายศักดิ์สิทธิ์
        โต๊ะที่ 11 ,12                                     กฎหมายเพิ่มเติม ซึ่งรวมทั้งกฎหมายห้ามมิให้มีการสมรสระหว่างพวกชน ชนชั้นสูง   (Patrician) กับพวกสามัยชน (Plebeians)

เป็น ที่น่าเสียดายว่ากฎหมาย 12 โต๊ะถูกทำลายในปี 390 ก่อนคริสต์ศักราช เนื่องจากโรมถูกชาวโกลรุกราน และถูกเผ่าทำให้กฎหมาย 12 โต๊ะถูกทำลายไปด้วย และไม่เป็นที่เชื่อได้อย่างแน่นอนว่ากฎหมาย 12 โต๊ะที่ศึกษาอยู่ในภายหลังจะถูกต้องหรือไม่

เรื่อง กฎหมายของชาวยิว

ได้ มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรเกิดขึ้นกับชาวฮิบรูหรือยิวอยู่ระหว่างปี1275ถึง 586ก่อนคริสต์ศักราช ปัจจุบันเรียกว่าอิสราเอล ชนเผ่าฮิบรูเป็นชนเผ่าเซเมติก เดิมอยู่ทางตอนล่างของลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส ชาวฮิบรูได้เข้าไปตั้งบ้านเรือนปะปนกับชาวคานาน ต่อมาเรียกดินแดนนี้ว่าปาเลสไตน์
ชาว ฮิบรูเคยเข้าไปในอียิปต์และตกเป็นทาสของชาวอียิปต์อยู่ระยะหนึ่ง โมเสสเจ้าชายหนุ่มชาวอิสราเอลเกิดขึ้นที่นั่น เขาเติบโตในพระราชวังของกษัตริย์ฟาโรห์ โมเสสได้ต่อสู้เพื่อหยุดยั้งชาวอียิปต์ที่ทำร้ายข่อขู่คนงานชาวอิสราเอลจน โมเสสได้ฆ่าชาวอียิปต์และเขาหนีไป ต่อมาได้เป็นผู้นำของชาวอิสราเอล โมเสสได้เห็นพระผู้เป็นเจ้า พระองค์บอกให้เขานำชาวอิสราเอลไปสู่ดินแดนใหม่ เขาจึงกลับมาอียิปต์แล้วแสดงให้ฟาโรห์เห็นถึงความต้องการเป็นอิสระของชาว อิสราเอล โมเสสได้ขู่ฟาโรห์ว่าถ้าไม่ทำตามจะได้พบกับพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า คือพระยะโฮวาห์ กษัตริย์ฟาโรห์จึงยอมปล่อยชาวอิสราเอลเป็นอิสระ
โมเสสนำชาวอิสราเอลผ่านทะเลทรายเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ จนชาวอิสราเอลท้อ โมเสสตำหนิพวกเขาว่าให้มีความเชื่อถือในพระผู้เป็นเจ้า
บน ภูเขาชีไน โมเสสที่อยู่ตามลำพังคนเดียวได้เห็นและได้ยินกฎหมายของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ได้แกะบัญญัติสิบประการบนแผ่นป้ายที่ทำด้วยก้อนหิน



ผู้ ฝ่าฝืนกระทำผิดบัญญัติสิบประการ ไม่มีโทษประหารชีวิตหรือโทษปรับเหมือนกฎหมายสมัยบาบิโลนหรือไม่มีสภาพบังคับ อย่างเช่นกฎหมายในปัจจุบัน

กฎหมายของโรมัน (Roman Law)

 กฎหมาย โรมันนับเป็นมรดกทางการปกครองสำคัญที่ชาวโรมันทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังกฎหมาย ฉบับแรกของโลกคือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ ซึ่งประกาศใช้ในปี 450 ก่อนคริสต์ศักราช กฎหมายนี้ลักษณะที่เข้มงวดและมีบทลงโทษที่รุนแรง เมื่อโรมันขยายตัวเป็นจักรวรรดิ มีการติดต่อค้าขายกับดินแดนต่างๆ ซึ่งมีกฎหมายและขนบประเพณีเฉพาะ ชาวโรมันได้รวบรวมกฎหมายที่ได้พบเห็นนี้มาปรับปรุงให้เข้ากับกฎหมายเดิมจน ได้กฎหมายที่เหมาะสมกับจักรวรรดิที่ประกอบด้วยชนหลายกลุ่ม กฎหมายนี้เรียกว่า จุส เจนติอุม (jus gentium) ซึ่งหมายถึงกฎหมายของชนทั้งหลาย
ในช่วงปลายจักวรรดิโรมันได้มีการชำระรวบรวมประมวลกฎหมายโดยอาศัยเอกสาร ต่างๆ เป็นหลัก เช่น มติสภาเซเนท พระราชกฤษฎีกาของพระจักรพรรดิ หลักปรัชญา และข้อคิดเห็นในกฎหมายที่มีชื่อ เป็นต้น กฎหมายฉบับที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ ประมวลกฎหมายจัสติเนียน
กฎหมายโรมันได้รับอิทธิพลจากปรัชญาสำนักสโตอิคทำให้หลักการของกฎหมาย วางอยู่บนพื้นฐานของกฎธรรมชาติ (Natural Laws) ถือว่ากฎหมายคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น กฎหมายจึงสามารถใช้คลอบคลุมมนุษย์ทุกคนและทุกรัฐอย่าเท่าเทียมกัน
หลักการสำคัญของกฎหมายโรมันคือให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิของบุคคล ทุกคนจะได้รับความเท่าเทียมกันตามกฎหมายไม่มีการทรมานผู้ต้องหาเพื่อให้รับ สารภาพ รวมทั้งถือว่าผู้ต้องหาคือผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ความ ผิดได้ แม้แต่ทาสก็ได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายลักษณะทาส ทาสมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าทดแทนในกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้านาย
กฎหมายที่มีประสิทธิภาพและมีระบบของโรมันเหล่านี้กลายเป็นแม่แบบของ กฎหมายประเทศต่างๆ ในยุโรปในสมัยต่อมา โดยเฉพาะประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส รวมทั้งประเทศต่างๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้
ก่อน ที่จะกล่าวถึงกฎหมายโรมันว่ามีกฎหมายอะไรบ้าง เราจะต้องทราบถึงสภาพความเป็นอยู่และการเมือง การปกครองในสมัยโรมันก่อนว่า สมัยโรมันนั้นปกครองกันอย่างไร มียุคใด ยุคโรมันเราสามารถแบ่งเป็นกี่ยุค ในตำราแบ่งเป็น 3 ยุค แต่เพื่อให้ละเอียดยุคที่ 3 แยกได้เป็น 2 ยุค จึงกลายเป็น 4 ยุค ด้วยกันคือ
1. ยุคแรก เรียกว่า ยุคกษัตริย์  Monarchy หรือ Regal period เริ่มตั้งแต่ 753 ถึง 509 ก่อนคริสต์ศักราชในช่วงนี้มีระยะเวลาประมาณ 200 กว่าปี
2. ยุคที่ 2 เรียกว่า ยุคสาธารณรัฐ (Republic) อันเป็นช่วงต่อจากปี 509 ถึงปีที่ 27 ก่อนคริสตกาล กฎหมายสิบสองโต๊ะเกิดขึ้นในยุคนี้ และมีการปกครองโดยรัฐสภากับกงกุส หรือคอนซูลที่มีชื่อเสียง คือ ซีซาร์
3. ยุคที่ 3 เรียกว่า ยุคจักรวรรดิหรือจักรพรรดิ (Principate) เป็นยุคล่าอาณานิคม อันเป็นช่วงที่ต่อจากปี 27 คือปีที 26 ก่อนคริสตกาลถึง พ.ศ.284 รวมแล้วประมาณ 300 กว่าปี
4. ยุคที่ 4 ยุคเผด็จการ (Dominate) ตั้งแต่ ค.ศ.285 ถึง ค.ศ.476


  ที่มา::
แสวง บุญเฉลิมวิภาส, , ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย ,วิญญูชน, บจก.สนพ., หน้า 56.
LW103 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก, .รามคำแหง
อนัทตชัย จินดาวัฒน์ ,ประวัติศาสตร์โลกฉบับสมบูรณ์ ,ยิปซีสำนักพิมพ์ ,หน้า 286
อนัทตชัย จินดาวัฒน์ ,ประวัติศาสตร์โลกฉบับสมบูรณ์ ,ยิปซีสำนักพิมพ์ ,หน้า 32
อนัทตชัย จินดาวัฒน์ ,ประวัติศาสตร์โลกฉบับสมบูรณ์ ,ยิปซีสำนักพิมพ์ ,หน้า  638
        

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

History of law

The history of law is closely connected to the development of civilization. Ancient Egyptian law, dating as far back as 3000 BC, contained a civil code that was probably broken into twelve books. It was based on the concept of Ma'at, characterised by tradition, rhetorical speech, social equality and impartiality. By the 22nd century BC, the ancient Sumerian ruler Ur-Nammu had formulated the first law code, which consisted of casuistic statements ("if ... then ...").
Around 1760 BC, King Hammurabi further developed Babylonian law, by codifying and inscribing it in stone. Hammurabi placed several copies of his law code throughout the kingdom of Babylon as setae, for the entire public to see; this became known as the Codex Hammurabi. The most intact copy of these stelae was discovered in the 19th century by British Assyriologists, and has since been fully transliterated and translated into various languages, including English, German, and French.
The Old Testament dates back to 1280 BC and takes the form of moral imperatives as recommendations for a good society. The small Greek city-state, ancient Athens, from about the 8th century BC was the first society to be based on broad inclusion of its citizenry, excluding women and the slave class. However, Athens had no legal science or single word for "law", relying instead on the three-way distinction between divine law (thémis), human decree (nomos) and custom (díkē). Yet Ancient Greek law contained major constitutional innovations in the development of democracy.
Roman law was heavily influenced by Greek philosophy, but its detailed rules were developed by professional jurists and were highly sophisticated. Over the centuries between the rise and decline of the Roman Empire, law was adapted to cope with the changing social situations and underwent major codification under Theodosius II and Justinian I.
Although codes were replaced by custom and case law during the Dark Ages, Roman law was rediscovered around the 11th century when mediæval legal scholars began to research Roman codes and adapt their concepts. In mediæval England, royal courts developed a body of precedent which later became the common law. A Europe-wide Law Merchant was formed so that merchants could trade with common standards of practice rather than with the many splintered facets of local laws. The Law Merchant, a precursor to modern commercial law, emphasised the freedom to contract and alienability of property.
As nationalism grew in the 18th and 19th centuries, the Law Merchant was incorporated into countries' local law under new civil codes. The Napoleonic and German Codes became the most influential. In contrast to English common law, which consists of enormous tomes of case law, codes in small books are easy to export and easy for judges to apply. However, today there are signs that civil and common law are converging. EU law is codified in treaties, but develops through the precedent laid down by the European Court of Justice.
Ancient India and China represent distinct traditions of law, and have historically had independent schools of legal theory and practice. The Arthashastra, probably compiled around 100 AD (although it contains older material), and the Manusmriti (c. 100–300 AD) were foundational treatises in India, and comprise texts considered authoritative legal guidance. Manu's central philosophy was tolerance and Pluralism, and was cited across Southeast Asia. This Hindu tradition, along with Islamic law, was supplanted by the common law when India became part of the British Empire.
Malaysia, Brunei, Singapore and Hong Kong also adopted the common law. The eastern Asia legal tradition reflects a unique blend of secular and religious influences. Japan was the first country to begin modernising its legal system along western lines, by importing bits of the French, but mostly the German Civil Code. This partly reflected Germany's status as a rising power in the late 19th century. Similarly, traditional Chinese law gave way to westernisation towards the final years of the Ch'ing dynasty in the form of six private law codes based mainly on the Japanese model of German law.
Today Taiwanese law retains the closest affinity to the codifications from that period, because of the split between Chiang Kai-shek's nationalists, who fled there, and Mao Zedong's communists who won control of the mainland in 1949. The current legal infrastructure in the People's Republic of China was heavily influenced by Soviet Socialist law, which essentially inflates administrative law at the expense of private law rights. Due to rapid industrialisation, today China is undergoing a process of reform, at least in terms of economic, if not social and political, rights. A new contract code in 1999 represented a move away from administrative domination. Furthermore, after negotiations lasting fifteen years, in 2001 China joined the World Trade Organisation.

(king Hummurabi is revealed the code of laws by the mesopotamian sungod Shamach also revered as the god of justice)


http://www.historyoflaw.info/
                                           http://en.wikipedia.org/wiki/Law